กำเนิดพิภพวานร


เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา(6 ส.ค.54) ผู้เขียนตกลงกับแฟนว่าจะปิดร้านเร็วขึ้นเพื่อจะไปดูภาพยนต์เรื่อง “Rise of  the  planet  of  the  apes (กำเนิดพิภพวานร)”  ก่อนไปก็เพียงแค่คิดว่าตามใจแฟน  ถ้าถามถึงความอยากดูในคราแรกนั้นก็ไม่ได้อยากจะดูนักค่ะ  แต่แฟนเค้าอยากดูเราก็ตามใจ  ไปไหนไปกัน อิอิ  เมื่อได้ดูแล้วบอกตามตรงนะคะว่าโดยส่วนตัวประทับใจในภาพยนต์เรื่องนี้เหลือเกิน

ในเรื่องของเทคนิคการสร้างระดับฮอลลีวู้ดแล้วคงไม่ต้องบรรยายอะไรเรื่องความสมจริง  เพราะหลายท่านก็คงพอทราบกันอยู่  และผู้เขียนคงไม่ถือวิสาสะมาเล่าเรื่องราวหรือรายละเอียดของหนังให้ใครได้อ่านกัน  เพราะจะทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับชมหมดอารมณ์กันพอดี  แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงความประทับใจในภาพยนต์นี้คือเรื่องของ “สัจธรรมแห่งธรรมชาติ”  ซึ่งทีมผู้สร้างสื่อออกมาได้ตรงใจและโดนใจของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง  จนทุกวันนี้ยังติดอยู่ในความรู้สึก  และทำให้รู้สึกอนาถใจในความเก่งกล้าท้าทายกฏธรรมชาติของมนุษย์

มนุษย์เรานี่เก่งจริงๆ  สร้างสรรค์ได้แทบทุกเรื่อง  กระทั่งทุกวันนี้ที่หลายท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง  เป็นการฝืนกฏธรรมชาติอย่างเอกอุ  แต่มนุษย์ก็ยังทำและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งโดยคิดว่านี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  หรือการตัดต่อพันธุกรรมต่างๆ เพื่อเป้าประสงค์ว่าสิ่งนั้นๆจะต้องดีที่สุด เยี่ยมที่สุด  โดยมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้วในโลกหรือจักรวาลนี้ไม่มีอะไรที่ดีพร้อมที่สุด  ทุกสิ่งต่างมีจุดเด่นจุดด้อยอยู่ในตัวเองหากแต่ธรรมชาติได้สร้างให้แต่ละสรรพสิ่งแชร์จุดเด่นและจุดด้อยกันอย่างสมดุลต่างหากเล่า  เพราะแม้แต่จุดด้อยของสิ่งหนึ่งที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อสิ่งนั้นๆ  แต่ก็จะไปมีประโยชน์ต่อสิ่งอื่นๆอยู่ดี  เพราะไม่ว่าจะเป็นจุดด้อยอย่างไรก็ย่อมมีคุณประโยชน์อยู่ในตัวเองเสมอ

ขึ้นชื่อว่า “สัตว์” ที่หมายรวมไปถึงสัตว์สังคมอย่างมนุษย์นั้นต่างก็มีความรู้สึก  รู้จักรักและหวงแหนในชีวิต  รู้จักเจ็บปวดด้วยกันแทบทั้งสิ้น  แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆกันมาว่าไม่มีสัตว์อื่นใดในโลกนี้อีกแล้วที่จะมีมันสมองอันชาญฉลาดและแหลมคมเท่ากับมนุษย์  ดังนั้น  มนุษย์จึงลำพองเสียนี่กระไรว่าข้านั้นเก่งกาจ  ถึงได้เที่ยวไปฝืนกฏธรรมชาติ  ทำร้าย ทำลายธรรมชาติให้เสียหายแดดิ้นลง

ทีมผู้สร้างถ่ายทอดการฝืนกฏธรรมชาติและการสนองตอบของธรรมชาติที่ลงโทษได้ดี  โดยผ่านตัวละครที่เป็นตัวเด่นของเรื่องนั่นคือ “ซีซาร์”   จนดูแล้วก็ทำให้คิดได้ว่า  บางครั้งสัญชาตญาณดิบของมนุษย์นั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์หน้าขนเสียอีก

และเมื่อเส้นฟางที่เรียกว่า “ฝืนธรรมชาติ” ได้ทำหน้าที่ล้ำเส้นจนเกินขอบข่ายของการรับไหวได้ขาดผึงลง  ธรรมชาติย้อนกลับมาทวงสิทธิอันชอบธรรมคืนบ้าง  แล้วใครกันที่ต้องสูญเสียเป็นรายต่อไป…คุณรู้ดี  

ดูแล้วคิด  คิดแล้วจงเตือนตน  จงรักษ์ในทุกสรรพสิ่ง  จงรักษ์ในธรรมชาติและอาทรต่อธรรมชาติ  รู้จักรับและให้อย่างสมดุล  ทุกสรรพสิ่งจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข…และแม้ว่าทุกวันนี้ธรรมชาติจะเสียสมดุลไปมากโขแล้ว  มนุษย์เรายังไม่รู้สึกสะท้อนใจอีกหรือ  หยุดเบียดเบียนได้แล้วนะคะ  ขอร้องจริงๆ…..

ใส่ความเห็น